วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ (3)จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันนี้ผมจะมาแนะนำมหาลัยที่นักเรียนมัธยมปลายหลายคนอยากเข้า...นั้นก็คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประวัติของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ถือกำเนิดจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานชัยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ [ประเทศไทยเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินสากลในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ (ค.ศ. ๑๙๔๐) ดังนั้น พ.ศ. กับ ค.ศ. ก่อนหน้านี้จึงเหลื่อมกันอยู่ ๑ ปี] และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๕ ทั้งนี้เพื่อผลิตบุคลากรให้รับราชการ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕ ต่อมาทั้งภาคราชการและเอกชนต้องการบุคลากรทำงานในสาขาวิชาต่างๆ กว้างขวางมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกาธิราชที่จะ ให้มีมหาวิทยาลัยขึ้นสำหรับเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวสยามพอที่จะช่วยให้กิจการปกครองท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยดำเนินไปได้ดีในระดับหนึ่ง แล้วสมควรขยายการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของ กระทรวง ทบวง กรมอื่นๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่าโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ ๑ มกราคม ๒๔๕๓



ต่อมาทรงเห็นว่าควรขยายกิจการให้กว้างขวางตามพระราชประสงค์เพื่อให้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์อันยิ่งใหญ่และถาวรในสมเด็จพระบรมชนกาธิราช พระองค์จึงได้พระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าจำนวนเก้าแสนกว่าบาทให้ใช้เพื่อสร้างอาคารเรียนและเป็นตึกบัญชาการบนที่ดินของพระคลังข้างที่จำนวน ๑,๓๐๙ ไร่ ซึ่งอยู่ที่อำเภอปทุมวัน และเงินที่เหลือจากการสร้างก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เพื่อกิจการของโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้ได้พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินและ ทรงวางศิลาพระฤกษ์ในการสร้างอาคารดังกล่าวเมื่อ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘


ในครั้งนั้นมีการเปิดสอน ๘ แผนกวิชา ได้แก่ การปกครอง กฎหมาย การฑูต การคลัง การแพทย์การช่าง การเกษตร และวิชาครู จัดการศึกษาใน ๕ โรงเรียน (คณะในปัจจุบัน) คือ โรงเรียนรัฏฐประศาสนศาสตร์ ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ตั้งอยู่ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา โรงเรียนราชแพทยาลัย ตั้งอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงเรียนเนติศึกษา ตั้งอยู่ที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และโรงเรียนยันตรศึกษา ตั้งที่วังใหม่ หรือวังกลางทุ่ง หรือวังวินเซอร์ (เคยเป็นวังของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ)ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริที่จะขยายการศึกษาในโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น คือ ไม่เฉพาะสำหรับผู้ที่จะเล่าเรียนเพื่อรับราชการเท่านั้น แต่จะรับผู้ซึ่งประสงค์จะศึกษาขั้นสูงให้เข้าเรียนได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางแผ่ไพศาล และมิรู้เสื่อมสูญ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในช่วงแรกมีการจัดการศึกษาเป็น ๔ คณะ ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๙ – ๒๔๖๕ มีการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาระดับประกาศนียบัตร และการเตรียมการจัดการเรียนการสอนระดับปริญญา มีการติดต่อกับมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์ เพื่อให้ช่วยเหลือการเรียนการสอนของคณะแพทยศาสตร์ จากนั้นระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๖ – ๒๔๘๐ เริ่มรับผู้สำเร็จหลักสูตรมัธยมบริบูรณ์เข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรและรับนักเรียนผู้จบประโยคมัธยมบริบูรณ์เข้าเรียนอีก ๔ คณะ และในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๙๐ เริ่มเน้นการเรียนการสอนอันเป็นพื้นฐานของวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีการจัดเตรียมมหาวิทยาลัยคือนักเรียนจะต้องเลือกเรียนตามคณะต่างๆ ที่มหาวิทยาลัยเปิดสอนทำให้มีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยขึ้น หลังจากนั้น ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๑ – ๒๕๐๓ เป็นระยะเวลาของการขยายการจัดการศึกษาออกไปในศาสตร์และศิลปวิทยาการต่างๆ โดยเน้นระดับปริญญาตรีเป็นหลัก และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของการขยายการศึกษาระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้น และเริ่มพัฒนาการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาส่งเสริมการค้นคว้า วิจัย การอนุรักษ์และสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมและการบริการทางวิชาการให้แก่สังคม มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยสถาบันบริการ และศูนย์ เพื่อให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัยและพัฒนาตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ทุกวิถีทาง ให้สมกับเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพระปิยมหาราชของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป
สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
พระเกี้ยว

พระเกี้ยวเป็นศิราภรณ์ประดับพระเกศา หรือพระเศียรของพระราชโอรส และพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ คำว่า เกี้ยว ถ้าเป็นคำนามแปลว่า เครื่องประดับศีรษะหรือเครื่องสวมจุก ถ้าเป็นคำกริยาแปลว่าผูกรัดหรือพัน พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภูมิใจทั้งนี้สืบเนื่องจากชื่อของมหาวิทยาลัยได้รับ พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในสมเด็จพระปิยมหาราช ผู้พระราชทานกำเนิดมหาวิทยาลัยนี้ จุฬาลงกรณ์ แปลว่า เครื่องประดับศีรษะหรือจุลมงกุฎ จุลมงกุฎมี ความหมายสำคัญยิ่งคือเกี่ยวโยงถึงพระนามาภิไธยเดิม ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ จึงมีความหมายว่า จุลมงกุฎ หรือพระราชโอรสของสมเด็จฯเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ยิ่งกว่านั้น ยังมีความเกี่ยวพันถึงพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีหมายความว่า “พระจอมเกล้าน้อย” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้พระเกี้ยวเป็นพิจิตรเรขา (สัญลักษณ์) ประจำรัชกาลของพระองค์ เมื่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือนหรือโรงเรียนมหาดเล็ก จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระเกี้ยว เป็นเครื่องหมายหน้าหมวกของนักเรียน มหาดเล็ก ต่อมาเมื่อโรงเรียนมหาดเล็กกราบบังคมทูลขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระเกี้ยวเป็น เครื่องหมายของโรงเรียนก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ตามที่กราบบังคมทูลขอพระราชทาน เมื่อโรงเรียนมหาดเล็กได้วิวัฒน์ขึ้นเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บริหารก็ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เปลี่ยนข้อความใต้พระเกี้ยวตามชื่อซึ่งได้รับพระราชทานใหม่ตลอดมา พระเกี้ยวองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตึกจักรพงษ์ เป็นพระเกี้ยว ซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เพื่อสร้างจำลองจาก พระเกี้ยวจริงที่ประดิษฐานอยู่ในพระคลังมหาสมบัติในพระบรมมหาราชวัง มหาวิทยาลัยสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเจิม และทรงพระสุหร่ายที่องค์พระเกี้ยว แล้วพระราชทานแก่มหาวิทยาลัยต่อหน้าประชาคมจุฬาฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปีการศึกษา๒๕๓๑ (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๒)
สีชมพู


เนื่องจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน หรือโรงเรียนมหาดเล็กครั้งนั้น ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้นักเรียนมหาดเล็ก แต่งเครื่องแบบมหาดเล็ก ซึ่งมีอินทรธนูเป็นสีบานเย็นอันเป็นสีของกรมมหาดเล็ก สีบานเย็น จึงเป็นสีประจำสถาบัน ต่อ มาเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลประเพณีครั้งแรก ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง คณะกรรมการสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงพิจารณาสีที่จะใช้ในการแข่ง ขัน ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล เมื่อครั้งยังเป็นนิสิตและนายกสโมสรนิสิตฯ ได้เสนอว่าชื่อของมหาวิทยาลัยคือ พระปรมาภิไธยเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคารและโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์ คณะกรรมการสโมสรนิสิตฯ เห็นสมควรอัญเชิญสีประจำพระองค์เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นเกียรติและสิริมงคล มหาวิทยาลัยจึงใช้สีชมพูเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยตลอดม
ต้นจามจุรี

“จามจุรี” เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของจุฬาฯ มีความผูกพันกับชาวจุฬาฯ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัย ด้วยวัฏจักรของจามจุรีมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวจุฬาฯ กล่าวคือ มีสีเขียวชอุ่มให้ความสดชื่นในช่วงเวลาภาคต้นของการศึกษาเสมือนนิสิตปีที่๑ ที่ยังคงเริงร่าสนุกสนานกับการเป็นน้องใหม่ และเมื่อเวลาผ่านไปในภาคปลายของการศึกษา ทั้งใบและฝักย้ำเตือนให้นิสิตเตรียม ตัวสอบปลายปีมิฉะนั้นอาจจะต้องเรียนซ้ำชั้นหรือถูกไล่ออก
ด้วยจามจุรีเป็นไม้ที่สลัดใบและฝักในช่วงเวลาปลายปี ทำให้ถนนและคูข้างถนนในจุฬาฯสกปรกปัญหาของต้นจามจุรี คือ ปลูกขึ้นยาก ดูแลรักษายาก มีโรคพืช ทำให้กิ่งก้านหักหล่น ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๐ -๒๕๐๐ จำนวนต้นจามจุรีในมหาวิทยาลัยเริ่มลดน้อยลงอย่างมากมีคณะต่างๆ เกิดขึ้นเป็นเหตุให้ต้นจามจุรีถูกโค่นลงเพื่อสร้างตึกใหม่ และไม่มีนโยบายปลูกทดแทน จากการที่จามจุรีลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นต่อชาวจุฬาฯ ถือเป็นิมิตหมายที่ดี โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็จพระปร มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ได้เสด็จพระราชดำเนิน ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระราชทานต้นจามจุรีแก่มหาวิทยาลัย จำนวน ๕ ต้น ซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากพระราชวังไกลกังวล หัวหิน และทรงปลูกด้วยพระองค์เอง บริเวณด้านหน้าหอประชุมจุฬาฯ ฝั่งด้านสนามฟุตบอล ทางด้านขวา จำนวน ๓ ต้น ด้านซ้ายจำนวน ๒ ต้น และยังได้พระราชทานพระราชดำรัสถึงความผูกพันระหว่างชาวจุฬาฯ กับจามจุรีว่ามีมานานตั้งแต่สร้างมหาวิทยาลัย ทรงเน้นว่าดอกสีชมพูเป็นสัญลักษณ์สูงสุดอย่างหนึ่งของจุฬาฯ พระองค์ทรงเห็นว่าจามจุรีที่นำมานั้นโตขึ้น สมควรจะเข้ามหาวิทยาลัยเสียที และสถานที่นี้เหมาะสมที่สุด “จึงขอฝากต้นไม้ไว้ห้าต้นให้เป็นเครื่องเตือนใจตลอดกาล”

ต้มจามจุรีพระราชทานทั้ง ๕ ต้นนี้ จึงยืนอยู่แข็งแรง เป็นศรีสง่าและศิริมงคลแก่ชาวจุฬาฯ มาจนถึงปัจจุบันและในอนาคตสืบไป และเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี จุฬาฯ จึงตกแต่งลานจามจุรีพระราชทานเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดลานจามจุรีพระราชทานเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๓๙ เพื่อให้ลานจามจุรีพระราชทานนี้เป็นสิ่งเตือนใจให้ชาวจุฬาฯ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเชื่อมั่นว่าลานจามจุรีพระราชทาน จะเป็นอนุสรณ์สถานแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่ร้อยรัดความสามัคคีของชาวจุฬาฯตลอดไป ต่อมา พ.ศ. ๒๕๔๐ ในวาระครบรอบ ๘๐ ปี แห่งการสถาปนา ชาวจุฬาฯ ร่วมใจดำเนินตามพระราชดำรัส ด้วยโครงการ “จุฬาฯ ๘๐ ปี จามจุรี ๘๐ ต้น” กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ชาวจุฬาฯ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน อาจารย์ บุคลากร ล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ทั้งสิ้น และโครงการนี้จะทยอยปลูกต้นจามจุรีต่อไปจนจุฬาฯ กลายเป็นอุทยานจามจุรีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ ชาวจุฬาฯ รุ่นต่อไปได้ร่มเงาจามจุรี มิใช่เหลือแต่เพียงความทรงจำ และจามจุรีก็จะเป็นสัญลักษณ์หนึ่งคู่จุฬาฯ ตลอดกาลชาวจุฬาฯ ยึดถือจามจุรีนี้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มักเรียกกันว่า จามจุรีสีชมพู หรือจามจุรีศรีจุฬาฯเมื่อถึงวันงานประเพณีต้อนรับน้องใหม่ทุก ๆ ปี นิสิตรุ่นพี่จะนำใบหรือกิ่งจามจุรีเล็ก ๆ มาผูกริบบิ้นสีชมพูคล้องคอให้นิสิตใหม่ เพื่อเป็นการต้อนรับเข้าสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาณาจักรแห่งจามจุรีสีชมพู
คณะที่เปิดสอน
คณะครุศาสตร์                                   Faculty of Education                       
คณะจิตวิทยา                                    Faculty of Psychology                    
คณะทันตแพทยศาสตร์                     Faculty of Dentistry                         
คณะนิติศาสตร์                                  Faculty of Law  
คณะนิเทศศาสตร์                              Faculty of Communication Arts  
คณะพยาบาลศาสตร์                         Faculty of Nursing                            
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี     Faculty of Commerce and Accountancy 
คณะรัฐศาสตร์                                   Faculty of Political Science                            
คณะวิทยาศาสตร์                              Faculty of Science                            
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา                Faculty of Sports Science              
คณะวิศวกรรมศาสตร์                        Faculty of Engineering                   
คณะศิลปกรรมศาสตร์                       Faculty of Fine and Applied Arts               
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์                Faculty of Architecture                 
คณะสหเวชศาสตร์                           Faculty of Applied Health Sciences                           
คณะสัตวแพทยศาสตร์                     Faculty of Veterinary Science                     
คณะอักษรศาสตร์                             Faculty of Arts                   
คณะเภสัชศาสตร์                              Faculty of Pharmaceutical Sciences                          
คณะเศรษฐศาสตร์                            Faculty of Economics                 
คณะแพทยศาสตร์                            Faculty of Medicine       
บัณฑิตวิทยาลัย                               Graduate School                           
สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร         School of Agricultural      
แนะนำมหาวิทยาลัย
ลองดูกันก่อนนะคับ

ขอบคุณข้อมูลจาก:www.chula.ac.th/

           

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Review/แนะนำการใช้งานโปรแกรม

Baidu PC Faster
วันนี้เราจะทำการแนะนำโปรแกรม Baidu PC Faster ซึ่งผมคิดว่าบางคนคงมีโปรแกรมนี้อยู่ในเครื่องแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร 


โปรแกรม Baidu PC Faster เป็นโปรแกรมสารพัดประโยชน์ที่เอาไว้ใช้ ปรับแต่งคอมพิวเตอร์ ของท่านให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และ Baidu PC Faster จะช่วยทำให้หน่วยประมวลผล ทำงานได้อย่างลื่นไหล ตลอดการใช้งาน ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะถูกรักษา และปกป้องเป็นอย่างดี  เพียงแค่คลิกเดียว คุณก็สามารถดูแลรักษาเครื่องของคุณได้อย่างง่ายดาย .. ด้วยโปรแกรม Baidu PC Faster มีคุณสมบัติเด่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ฟีเจอร์ทำให้บูตเครื่องเร็วขึ้น, กำจัดไฟล์ขยะ, สามารถลบ Malware ที่ขจัดยาก และอื่นๆ อีกมากมาย

มาดูคุณสมบัติคร่าวๆ ของ โปรแกรม Baidu PC Faster กันครับ ซึ่งคุณสมับติเหล่านี้ก็มีเพิ่มเติมทุกครั้งที่มีการอัพเดตเวอร์ชั่น
  • Boot Time Manager : เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยเจอกับปัญหาบูทเข้าวินโดว์ช้า วินโดว์ทำงานช้า ไม่ทันใจ  ฟีเจอร์ Boot Time Manager นี้จะตรวจสอบระบบการทำงานเบื้องหลัง และสแกนหาโปรแกรม หรือไฟล์ อื่นๆ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เข้าสู้วินโดว์ช้า
  • Cleaner : ฟีเจอร์นี้ มีความสามารถในการหาไฟล์ขยะ ไฟล์เสีย หรือแม้แต่ไฟล์ระบบ (registry) ต่างๆ ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • Health Care : หลังจากที่ลบไฟล์ที่ไม่ต้องการใช้เสร็จหมดแล้ว โปรแกรม Baidu Faster PC จะเช็คระบบของคุณอีกครั้ง เพื่อหาไฟล์ที่ยังมีปัญหาอยู่ นอกจากนี้ยังเป็นการดูแล รักษา คอมพิวเตอร์ของคุณอีกด้วยครับ
  • Fast Now (เร่งเดี๋ยวนี้) เป็น Real time Optimization
  • Game Faster เร่งเครื่อง เตรียมความพร้อมก่อนเล่นเกมส์ (เหมือนพวก Razor iObit Game Booster ครับ)
  • กล่องเครื่องมือที่สามารถปรับแต่งเองได้ ว่าจะให้เครื่องมือใดอยู่ในหน้าแรกบ้าง
  • ล้างไฟล์ขยะได้มากขึ้น หลายประเภท
  • ล้างไฟล์ประวัติการใช้งานได้มากขึ้น หลายประเภท
  • เร่งความเร็วได้มากขึ้น หลายประเภท
การติดตั้งโปรแกรม Baidu PC Faster


ก่อนอื่น ถ้าคุณยังไม่มี โปรแกรม Baidu PC Faster ให้ไปดาวน์โหลด

หลังจากนั้นก็ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนตัวติดตั้ง โปรแกรม Baidu PC Faster ได้เลยครับ


เมื่อกดติดตั้งโปรแกรมจะมีการดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งเพิ่มเติม ก็รอมันดาวน์โหลดสักครู่


เมื่อดาวน์โหลดเสร็จสิ้น ตัวโปรแกรมจะเริ่มติดตั้งอัตโนมัติ


รอจนติดตั้งเสร็จโปรแกรมจะเปิดตัวทัน


การใช้งานเบื้องต้น

หน้าแรกของโปรแกรม หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ จะเห็นได้ว่าหน้าตาของโปรแกรม เมนูต่างๆ ถูดจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีลักษณะที่น่าใช้งาน ดูแล้วสบายตา ..เมนูหลักด้านบนมี หน้าหลัก, อัพเดตวินโดว์, ทำความสะอาด และเร่งความเร็ว 

ด้านขวาเป็นเครื่องมือต่างๆ ได้แก่ ล้างไฟล์ขยะ, ล้างข้อมูล และล้างรีจิสทรีที่เสียหาย ซึ่งเครื่องมือ 3 ตัวที่กล่าวมานี้จะอยู่ในส่วน ทำความสะอาด ในเมนูหลักนั่นเองครับ และตรงกลางของโปรแกรมเป็นการแสดงสถานะของคอมพิวเตอร์ของคุณว่า ปัจจุบันปลอดภัย หรือปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้


ฟีเจอร์ "อัพเดตวินโดว์"

เมนูแรก "อัพเดตวินโดว์" เป็นการค้นหาไฟล์อัพเดตต่างๆ ของวินโดว์ที่คุณใช้ โปรแกรม Baidu PC Faster จะสแกนหาแพตซ์ที่มีความเสี่ยง, แพตซ์ที่ไม่จำเป็น และแพตซ์ที่ไม่แนะนำให้ติดตั้ง


ฟีเจอร์ "ทำความสะอาด"

เมนูที่สอง "ทำความสะอาด" สำหรับแท็บของเมนูทำความสะอาด เราสามารถเลือกได้ว่าให้ทำความสะอาดส่วนไนหบ้าง จากนั้นตัวโปรแกรมจะทำการหาไฟล์ขยะ, ข้อมูลความเป็นส่วนตัว และรีจิสทรี ซึ่งคุณก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละไฟล์ได้ครับ ..  มันจะลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ ร่องรอยกิจกรรมบนพีซี ออนไลน์ และรีจิสทรีที่เสียหาย เพื่อเรียกคืนพื้นทิ่ดิสก์อันมีค่ากลับคืนมา ทำให้ประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น



ฟีเจอร์ "เร่งความเร็ว"

เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรมต่างและระบบโดยรวมของเครื่อง โดยหลักการทำงานของมันคือปิดโปรแกรมที่เบื้องหลังที่ไม่จำเป็น ทำให้ประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้นครับ


ถัดมาคือความสามารถในการสแกนไวรัส โดยใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในการทำงาน 


มาดูกันต่อที่ "กล่องเครื่องมือ" ที่มีเครื่องมือสำหรับแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ครบวงจรจัดการและเร่งความเร็ว วินโดวส์ และ อินเทอร์เน็ทของคุณได้อย่างง่ายดาย


พีซี แอพฯ สโตร์

และหากต้องการโปรแกรมเพิ่มเติม เราสามารถค้นหาโปรแกรมมาติดตั้งเพิ่มอย่างง่ายดาย โดยแอพฯเหล่านี้ Baidu รวบรวมมาให้ติดตั้งได้อย่างง่ายดาย ซึ่งก็มีโปรแกรมน่าใช้อยู่มากมายครับ


นอกจากนี้ยังมีเกมโหมด Game Faster สำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการความเสถียรในการเล่น  จะสั่งให้คอมประมวลผลเกมโดยมี Priority สูงสุด


ขอบคุณข้อมูลจาก: http://ireview.in.th/review-baidu-pc-faster/























วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์คืออะไร
คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อสังคมของมนุษย์เราในปัจจุบัน แทบทุกวงการล้วนนำคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้งานจนกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นการเรียนรู้เพื่อทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์จึงถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งเพื่อที่จะทราบว่าคอมพิวเตอร์คืออะไรทำงานอย่างไรและมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร

ความหมายของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทำหน้าที่เหมือนสมองกลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์" 

คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 

การทำงานของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ  โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ  Input  Process และ output   ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ

ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)

เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น   ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง   ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ   หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)

เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่
ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม 
นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)

เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้   โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก  ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้

 1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
  2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ  หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
  3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
  4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
  5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
   6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด


 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คืออะไร
          ระบบเครือข่ายในทางคอมพิวเตอร์นั้นก็คือ ระบบที่เกิดจากการนำเอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ พรินเตอร์ สแกนเนอร์ Hub/switch หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มาเชื่อมต่อกัน โดยใช้สื่อ (transmission media) ต่าง ๆ เช่น สายเคเบิลชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาจทำด้วยทองแดงหรือใยแก้วนำแสง หรืออาจเป็นสื่อแบบไร้สาย เช่น คลื่นวิทยุ อินฟาเรด หรือไมโครเวฟ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดต่อหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน หรือเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแชร์พรินเตอร์หรือการแชร์ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
ะบบเครือข่ายแบ่งได้เป็น 3 ประเภทตามขนาดหรือระยะทำการของเครือข่ายคือ

1. LAN (Local Area Network) คือเครือข่ายเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดเล็ก ๆ หรือระยะทำการไม่ไกลนัก เช่น เครือข่ายภายในออฟฟิศหรือสำนักงาน มีระยะทำการใกล้ ๆ และมักเชื่อมโยงกันด้วยความเร็วสูง เครือข่ายแบบนี้ยังถูกนำมาใช้เป็นเครือข่ายในบ้านของเราด้วย

2. MAN (Metropolitan Area Network) คือเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่กว่า LAN ซึ่งจะเชื่อมในระยะห่าง ๆ ภายในจังหวัด หรือภายในตัวเมือง และเชื่อมระบบ LAN หลาย ๆเครือข่ายมารวมกัน
3. Wan (Wide Area Network) คือเครือข่ายสำหรับเชื่อมเครือข่ายย่อย ๆ หรือเครือข่ายคนละชนิดที่อยู่ห่างไกลกันมาก ๆ เช่น คนละจังหวัด หรือคนละประเทศเข้าด้วยกัน ตัวอย่างของ WAN ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั่นเอง

โครงสร้างของเครือข่าย  คืออะไร
           โทโปโลยี หมายถึงรูปร่างของ network พิจารณาจากการลากเส้นมาต่อกันเป็นกิ่งก้านหรือรูปแบบของ Network คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลที่ประกอบกันเป็นเครือข่าย มีการเชื่อมโยงถึงกันในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม เทคโนโลยีการอออกแบบเชื่อมโยงนี้เรียกว่า รูปร่างเครือข่าย (network topology) เมื่อพิจารณาการต่อเชื่อมโยงถึงกันของอุปกรณ์สำนักงานซึ่งใช้งานที่ต่าง ๆ หากต้องการเชื่อมต่อถึงกันโดยตรง จะต้องใช้สายเชื่อมโยงมาก ปัญหาของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ของสถานีปลายทางหลาย ๆ สถานีคือ จำนวนสายที่ใช้เชื่อมโยงระหว่างสถานีเพิ่มมากขึ้น ง่ายต่อการติดตั้ง และมีประสิทธิภาพที่ดีต่อระบบ รูปร่างเครือข่ายงานที่ใช้ในการสื่อสารมีหลายรูปแบบ
    
            1.เครือข่ายแบบบัส (Bus Network)เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ด้วยสายเคเบิ้ลยาวต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีคอนเน็กเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์
เข้ากับสายเคเบิ้ลในการส่งข้อมูลจะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วง
เวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำ
ให้ข้อมูลชนกัน วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่สัญญาณที่แตกต่างกัน การเซตอัป
เครื่องเครือข่ายแบบบัสนี้ ทำได้ไม่ยากเพราะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถูกเชื่อมต่อด้วยสาย
เคเบิ้ลเพียงเส้นเดียวโดยส่วนใหญ่เครือข่ายแบบบัส  มักจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ในองค์กรที่มี
คอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก



               2.เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network)เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์ด้วยสาย
เคเบิลยาวเส้นเดียวในลักษณะวงแหวน  การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวน จะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้น
เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูลมันก็จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรง
ตามที่คอมพิวเตอร์เครื่องต้นทางระบุ ก็จะส่งผ่านไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอน
อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงคอมพิวเตอร์ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่จากเครื่องต้นทาง

               3.เครือข่ายแบบดาว (Star Network)เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับอุปกรณ์ ที่เป็น จุดศูนย์กลางของเครือข่าย โดยการนำสถานีต่าง ๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วย สลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการ ติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วนสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงเป็นศูนย์กลางของการติดต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานี ต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน

                 4. เครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network) เป็นเครือข่ายที่มีผสมผสานโครงสร้างเครือข่าย 
แบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อมรับส่งข้อมูลเดียวกัน
โครงสร้างเครือข่ายไร้สาย

โครงสร้างที่กล่าวมาทั้ง 4 แบบข้างต้นนั้นเป็นโครงสร้างที่ใช้กันสำหรับเครือข่ายแบบใช้สาย แต่เนื่องจากเครือข่ายแบบไร้สายนั้นจะอาศัยคลื่นวิทยุในการรับส่งข้อมูลซึ่งทำให้โครงสร้างของเครือข่ายแตกต่างกันไปด้วย ลักษณะโครงสร้างเครือข่ายแบบไร้สายจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ โครงสร้างแบบ Ad-hoc หรือ Peer-to-Peer และโครงสร้างแบบ Client-Server ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะมีลักษณะดังรูปที่ปรากฏตามลำดับ

การเชื่อมต่อเครือข่าย
       ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตหลายคนอาจเข้าสู่อินเทอร์เน็ตโดยผ่านทางระบบเครือข่ายของสำนักงาน  บริษัท หรือสถานศึกษาของตน ซึ่งตามปกติแล้วหากเป็นหน่วยงานหรือสำนักงานใหญ่ๆ จะต่อคอมพิวเตอร์เป็นระบบภายในองค์กร (LAN) ซึ่งมักจะเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ (ISP) ผ่านสายนำสัญญาณความเร็วสูง (High-Speed Leased Line) แทนที่จะเชื่อมต่อผ่านโมเด็ม (Modem) แต่ถ้าหากว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ในวง LAN ที่ไม่โตมากนักก็อาจใช้เชื่อมต่อผ่านโมเด็มก็ได้ เพราะจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อระบบ แต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องความเร็ว ในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตบ้างเล็กน้อย
          การเชื่อมต่อผ่านทาง ISP ยังแบ่งลักษณะการเชื่อมต่อออกเป็น 2 ประเภทตาความต้องการใช้งานดังนี้ 
           1. การเชื่อมต่อแบบองค์กร
        เป็นองค์กรที่มีการจัดตั้งระบบเครือข่ายใช้งานภายในองค์กรอยู่แล้ว จะสามารถนำเครื่องแม่ข่าย (Server) ของเครือข่ายนั้นเข้าเชื่อมต่อกับ ISP เพื่อเชื่อมโยง เข้าสู่ระบบ อินเทอร์เน็ตได้เลย  
           2. การเชื่อมต่อส่วนบุคคล
        เป็นการเชื่อมต่อของบุคคลธรรมดาทั่วไปซึ่งสามารถ่ขอเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ อาจจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน เชื่อมต่อผ่านทางสายโทรศัพท์ ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า โมเดม (Modem) ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก เรามักเรียกการเชื่อมต่อแบบนี้ว่า การเชื่อมต่อแบบ Dial-Up โดยผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกของ ISP เพื่อขอเชื่อมต่อผ่านทาง SLIP หรือ PPP account

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก:http://www.jinan.co.th/computer.html
                                          http://45122420223.tripod.com/index.html
                                                            ้http://www.skn.ac.th/a_cd/syllabus/networktype.html


วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ Onet คอมพิวเตอร์ 5 ข้อ



1.ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด  ( ปี 54 )
  1.  wifi  IP
  2.  wifi  Bluetooth
  3.  3G   ADSL
  4.  3G  Etherne

เฉลย ข้อ 2
 wifi เป็นระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สาย
Bluetooth เป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายจากโทรศัพท์เข้าคอม
3G เป็นการบริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงเช่นกัน
ADSL เป็นสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบสายตามบ้านทั่วไป
Ethernet เป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตวงแคบๆ อาจจะภายในองค์ก


2. ความละเอียดของจอภาพสามารถบอกได้ด้วยปัจจัยในข้อใด ( ปี 50 )
   1. CRT
   2. Dot pitch
   3. Refresh rate
   4. Color quality

ฉลย ข้อ 2
Dot pitch คือระยะห่างระหว่างพิกเซล หรือระยะห่างระหว่างจุดสี ถ้าระยะห่างน้อย ด็อดพิชมีขนาดเล็ก ภาพจะคมชัดยิ่งขึ้น โดยปกติความละเอียดจะอยู่ที่ประมาณ 0.25 mm ถึง 0.4 mm

3.ข้อใดเป็นความหมายของภาษาโปรแกรมระดับสูง   ( ปี 51 )
  1) ภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อวารกัน เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เป็นต้น
  2) ภาษาที่ประกอบด้วยตัวเลขฐานสองซึ่งคอมพิวเตอร์ใช้ประมวลผลได้ทันที
  3) ภาษาที่สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนคำสั่งมาจากศัพท์ภาษาอังกฤษ
  4) ภาษาที่มีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องหรือที่เรียกว่า ภาษาอิงเครื่อง (machine-oriented 
language)

เฉลย ข้อ 3
 ภาษาระดับสูง (High Level Language) เป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมกล่าวคือลักษณะของคำสั่งจะประกอบด้วยคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ผู้เขียนโปรแกรมจึงเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงได้ง่ายกว่าเขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีหรือภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีมากมายหลายภาษา อาทิเช่น ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก(BASIC) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น

4.ปัจจุบันเครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่โดยมีขนาดบางและความคมชัดสูงเลือกใช้จอแสดงภาพชนิดใด ?  ( ปี 54 )
1) CRT          2) LCD          3) LRD           4)PLASMA

เฉลย ข้อ 3
 จอ LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode LED คือหลอดไฟขนาดจิ๋วแต่แจ่วซึ่งใช้ หลอด LED เป็นตัว กำหนดแสงและมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกี่งเหลวคอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจาก หลอด LED ส่องลอดออกมาเป็นสีต่าง ๆ จอ LED ไม่เป็นที่นิยมของตลาดเพราะมีราคาแพงแต่มีขนาดบาง ความคมชัดสูงมียี่ห้อเดียวคือซัมซุง 
จอ LCD ใช้หลอดไฟ CCFL ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟเรียงในแนวนอนยาว ลงมาเป็นตัวกำเนิดแสงและมี Liquid Crystal คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงแบคไลต์(สีขาว) ลอดผ่านทะลุ Color Filter แม่สี 3 สีเพื่อแสดงออกมาเป็นสีสันต่างๆแต่สีและความคมชัดไม่เท่าจอ LED
จอ Plasma มีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 42 นิ้ว – 150 นิ้วเหมาะในการดูกีฬาและภาพยนต์ แอคชั่นแต่สีเป็นธรรมชาติแต่สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้าเพาะเครื่องจะระบายความร้อนออกมาสิ้นเปลืองการติดเครื่องปรับอากาศ
CRT ข้อดีของจอ CRT คือ รองรับการแสดงผลได้หลากหลายมีอัตราค่า Refresh Rate ที่สูงกว่า สีสันสดใส คมชัดกว่า ข้อเสียคือ ขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่า มีความร้อนสูง

5. อุปกรณ์ชนิดใดต่อไปนี้ไม่สามารถเก็บแฟ้มภาพขนาด 144 เมกะไบตได้ ( ปี 51 )
   1. แผ่นดีวีดี
   2. แผ่นดิสเก็ต
   3. แผ่นซีดีอาร์
   4. แผ่นซีดีอาร์ดับบลิว

เฉลย 2
แผ่นดีวีดี สามารถจุข้อมูลได้ 4.7 GB
แผ่นดิสเก็ต หรือ แผ่นดิสก์ มีความจุในการเก็บข้อมูลน้อยกว่าเท่ากับ 1.44 MB
แผ่นซีดีอาร์ และแผ่นซีดีอาร์ดับบลิว สามารถจุข้อมูลได้ 700 MB


ขอบคุณข้อมูลจาก:http://forum.02dual.com/index.php/topic,1470.0.html
                                   http://gibkorn.blogspot.com/2015/07/o-net.html#more